หลายคนคงเคยได้ยินข่าวว่า “AI กำลังจะมาแย่งงานคนทำงานด้าน IT” และเกิดความกังวลกันไม่มากก็น้อย
แต่จากที่ผมเองได้ศึกษาเรื่องนี้ผ่าน Podcast, บทความ, และดูบทสัมภาษณ์กับคนจากบริษัทใหญ่ ๆ มามากในหลายปีที่ผ่านมา ก็ได้ข้อสรุปว่า:
ในความเสี่ยงว่า AI จะมาแย่งงานเรา ก็มีโอกาสใหม่เกิดขึ้น นั่นคือ การได้ทำงานร่วมกับ AI
AI ก็เหมือนเครื่องมือสุดล้ำที่จะมาช่วยให้เราทำงานได้เก่งขึ้น เร็วขึ้น และสนุกขึ้น เหมือนกับที่เราใช้คอมพิวเตอร์ / มือถือ / แท็บเล็ต ช่วยทำงานในทุกวันนี้ แทนที่เราจะใช้ลูกคิด (เก่าไปมั้ย 555+), การเขียนสมการบนกระดาษ, หรือเครื่องคิดเลข
แต่ คำตอบจาก AI ก็ไม่ได้เชื่อถือได้ 100% อย่างที่หลาย ๆ คนอาจจะเคยเห็นว่า AI ก็มั่ว (Hallucinate) เยอะ โดยเฉพาะคำถามที่ AI ไม่รู้คำตอบ มันก็จะพยายามแถ
และนอกจากนั้น การมาถึงของ AI ทำให้โลกการทำงานเปลี่ยนไป และจะทำให้เกิดอาชีพใหม่ในอนาคต ที่ขอเรียกว่า AI Agent Orchestrator
ในบทความนี้ จะเล่าให้ฟังว่า คนในยุคปัจจุบันควรทำงานกับ AI ยังไงดี และอาชีพ AI Agent Orchestrator ทำอะไร ทำไมต้องมี และถ้าอยากไปถึงอาชีพนี้ควรฝึกอะไรบ้าง
โลกของการทำงานในยุค AI เปลี่ยนไปอย่างไร

ในยุคที่มนุษย์สอน AI ทำงาน
พอมี AI เข้ามาในโลกการทำงาน ก็ทำให้การทำงานแบบเดิม “เปลี่ยนไป”
ผมมักจะบอกทุกคนว่าให้มอง AI เป็นเหมือน “เด็กฝึกงาน” ที่ทำงานได้เร็ว ฉลาด (ด้านความรู้) และไม่รู้จักเหนื่อย แต่ก็ยังต้องการ “หัวหน้า” ที่เป็นมนุษย์คอยควบคุมดูแล
เช่น
- สาย Software Engineer / Data Engineer – เราให้ AI ช่วยเขียนโค้ดได้ออกมาได้เยอะ ไม่รู้จักเหนื่อย ให้เขียนเป็น 100,000 บรรทัดก็ยังได้ แต่เราที่เป็นมนุษย์ก็ยังต้องมาตรวจสอบความถูกต้อง และคอยเช็คว่าโค้ดที่เขียนมาถูกต้องมั้ย มีช่องว่างด้านความปลอดภัย (Security) อะไรมั้ย
- สาย Data Analyst / Data Scientist – เราให้ AI เขียน SQL Query ที่ซับซ้อน เราก็ต้องตรวจสอบว่า JOIN ถูกต้อง ไม่มี edge case ที่จะทำให้ข้อมูลผิดพลาด
ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของ คอนเซปต์การทำงานของมนุษย์ร่วมกับ AI แบบ “Trust, but verify” (เชื่อใจ แต่ก็ต้องตรวจสอบ)
ผมได้ยินคอนเซปต์นี้ครั้งแรกจากคุณ Addy Osmani ซึ่งเป็น Engineering Lead ที่ Google นำทีม Chrome Developer Experience และเห็นด้วยมากว่านี่เราไม่สามารถเชื่อถือ AI ได้ 100% แต่เราต้องตรวจสอบเสมอ
สิ่งที่เราจะสรุปได้จากคอนเซปต์ Trust, but verify คือ มนุษย์ยังจำเป็นในการทำงาน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำงานชิล ๆ แบบเดิมต่อไปได้โดยไม่อัพสกิลอะไรเลย เพราะยังมีปัญหาที่ตามมา คือ
บริษัทไม่ได้ต้องการคนเยอะ ๆ อีกต่อไป
เมื่อบริษัทนำ AI เข้ามาใช้ ก็จะทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น ปิดงานไวขึ้น Productivity อาจจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า และทำให้งานที่เคยต้องใช้คน 10 คน อาจจะเหลือแค่ 3 คนที่ทำงานร่วมกับ AI แล้วได้ผลลัพธ์เท่ากัน
นั่นแปลว่า เราจะทำงานแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว แต่จะต้องปรับตัวโดยการหาวิธีนำ AI เข้ามาใช้ประโยชน์ให้เราทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้น
คนที่ปรับตัวได้ ก็จะไม่ตกงานง่าย ๆ หรือถ้าตกงานก็หางานใหม่ได้ไม่ยาก เพราะบริษัทสามารถจ้างแค่ 1 คน แต่สามารถทำงานได้มากขึ้นโดยไม่ต้องจ่ายเงินเดือน 2 เท่า
สรุป คือ การมาของ AI จะทำให้บริษัทลดคน จึงเป็นที่มาของข่าว Layoff มากมายในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นโอกาสของคนที่สามารถทำงานกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
และนี่แหละคือที่มาของอาชีพ AI Agent Orchestrator ที่จะมาในอนาคต ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาทำความรู้จักอาชีพนี้กัน
มารู้จักอาชีพ AI Agent Orchestrator กัน

AI Agent Orchestrator ทำอะไรบ้าง
ผมได้ยินคำนี้มาจาก Podcast ด้าน AI ที่ฟังตอนต้นปี 2025 เค้าทำนายว่าบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มหาอาชีพ AI Agent Orchestrator มากขึ้น ซึ่งฟังครั้งแรกผมก็ยังเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง
แต่พอเห็นโลก AI พัฒนาไปเรื่อย ๆ ภาพของตำแหน่ง AI Agent Orchestrator ก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ
AI Agent Orchestrator คือใคร
ในยุคนี้ที่เครื่องมือ AI ออกมาให้เราเลือกใช้เยอะแยะไปหมด เพราะทุกคนก็อยากหารายได้จากประโยชน์ของ AI ซึ่งก็ทำให้ผู้ใช้งานอย่างเรา “เลือกได้ยาก” (Decision Fatigue) ตามไปด้วย เพราะตัวเลือกมีเยอะเกินไป
AI Agent Orchestrator คือผู้ที่ทำหน้าที่ในบริษัทเหมือนเป็น “วาทยกร” (Orchestrator = คนที่ถือไม้คุมวงดนตรีนั่นแหละ) ในวงดนตรี ที่ควบคุมการทำงานของ AI หลากหลายระบบ ให้ทำงานประสานกันอย่างลงตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ
จากเดิมที่คนทำงานกับ AI แบบ 1:1 (1 คน + AI 1 ตัว) ก็จะกลายเป็น 1:10 หรือ 1:100 (1 คน + AI x ตัว) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และผลลัพธ์ทางธุรกิจให้มากขึ้น
ประกอบกับในยุคที่ AI มีความสามารถเฉพาะทางที่หลากหลาย เช่น
- Claude เขียนภาษาไทยได้ดี
- Gemini & MidJourney สร้างรูปภาพได้มีคุณภาพ
AI Agent Orchestrator จะเป็นผู้ที่เข้าใจจุดแข็งและข้อจำกัดของ AI แต่ละตัว สามารถออกแบบการทำงานร่วมกันระหว่าง AI ที่มีความเชี่ยวชาญต่างกัน และควบคุมให้ทุกส่วนทำงานสอดประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ
จากตัวอย่างข้างต้น คนที่เป็น AI Agent Orchestrator ด้าน Marketing อาจจะเอา Claude มาช่วยเขียนเนื้อหาบทความโปรโมท แล้วเอา Gemini มาช่วยสร้างรูปภาพประกอบ เป็นต้น
อ่านมาถึงตรงนี้ หลาย ๆ คนอาจจะเริ่มคิดไปถึงเครื่องมือชื่อดังที่ทำให้เราควบคุม AI Agent หลายตัวได้ เช่น n8n ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีตัวหนึ่งเลยของคนที่จะเป็น AI Agent Orchestrator
หรือถ้าท่านใดเป็นคนเขียนโค้ด อาจจะเริ่มเห็นเทรนด์ว่าโปรแกรมเมอร์ 1 คน สามารถคุม AI Agent เป็น 10 ตัวแล้ว เช่น Subagent ใน Claude Code ซึ่งเปิดโลกการพัฒนาด้วย Multi-agent ในยุคปัจจุบัน
หน้าที่หลักของ AI Agent Orchestrator
ก่อนที่เราจะมาคุยเรื่องการฝึกสกิล มาดูเรื่องหน้าที่ของตำแหน่งงานนี้กันก่อน
หน้าที่ของ AI Agent Orchestrator ประกอบด้วย:
- วิเคราะห์ และแตกโจทย์ธุรกิจ: ศึกษาความต้องการทางธุรกิจ และแตกออกเป็นงานย่อยให้ชัดเจน เช่น ทำเป็น Business Flow Diagram ให้ชัดเจน
- คัดเลือกเครื่องมือ AI ที่เหมาะสม: ในปัจจุบันมีตัวเลือกเครื่องมือ AI อยู่เยอะมาก คนที่เป็น Orchestrator ต้องเลือกใช้ AI ที่มีความเชี่ยวชาญตรงกับความต้องการของแต่ละงานย่อย โดยพิจารณาทั้งด้านความสามารถ, ข้อจำกัด, และค่าใช้จ่าย
- ออกแบบ Workflow: วางแผนลำดับการทำงานของ AI แต่ละตัว กำหนดจุดเชื่อมต่อระหว่างระบบ และออกแบบกระบวนการตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งจุดนี้เครื่องมือแบบ n8n เข้ามาช่วยได้
- บริหารจัดการการทำงาน: ควบคุมดูแลให้ AI ทุกตัวทำงานตามที่ออกแบบไว้ แก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และปรับแต่งระบบ (Optimize) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
- รวบรวมเป็นผลงานที่สมบูรณ์: รวบรวมผลลัพธ์จาก AI แต่ละตัว ให้เป็นผลงานที่สมบูรณ์ และตรวจสอบความถูกต้องครั้งสุดท้ายก่อนส่งมอบ (คอนเซปต์ Trust, but verify)
จะเห็นว่า AI Agent Orchestrator เป็นอาชีพที่เน้นการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ ที่ต้องมีความเข้าใจทั้งด้านธุรกิจ (Business) + ความเข้าใจเทคโนโลยี AI
อาชีพนี้จะต้องใช้ AI แบบลงลึกกว่าคนทั่วไปที่เน้นพูดคุย แต่ก็ไม่ได้ต้องลงลึกถึงระดับนักพัฒนา AI Model ในแล็บ
ถ้าอยากเป็น AI Agent Orchestrator ต้องฝึกสกิลอะไรบ้าง?

สกิลที่ต้องเรียนรู้ ของ AI Agent Orchestrator
ข่าวดี คือ อาชีพด้านนี้เป็นอาชีพที่ฝึกกันได้ และไม่จำเป็นต้องเรียกว่า AI Agent Orchestrator เสมอไป อาจจะเป็นชื่ออาชีพอื่นก็ได้เช่นกัน
ถ้าคุณเป็นคนทำงานที่สนใจการใช้เครื่องมือ AI ต่าง ๆ รวมถึงเข้าใจธุรกิจ และลองนำ AI เข้ามาช่วยในบางขั้นตอนของงาน คุณก็อาจจะเริ่มเป็น AI Agent Orchestrator ไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
และสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้น นี่เป็นสกิลที่แนะนำให้มีครับ
1. ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills)
- ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ AI: ต้องเข้าใจหลักการทำงาน ข้อจำกัด และความสามารถของ AI และเครื่องมือประเภทต่างๆ เช่น Large Language Models, Foundation Model จากค่ายดัง (Gemini, Claude, GPT), เครื่องมือ AI อื่น ๆ (Canva, MidJourney, Kling, Heygen) เป็นต้น
- พื้นฐานการเขียนโปรแกรม: ไม่จำเป็นต้องเก่งระดับเป็น Developer ได้ แต่ควรเข้าใจหลักการพื้นฐานเพื่อสามารถสื่อสารกับทีมเทคนิคได้ หรือคุยกับ AI เพื่อ Vibe Coding ได้เองระดับหนึ่ง
- ความรู้ในการเชื่อมต่อระบบ AI เช่น API, MCP, A2A: สามารถเชื่อมต่อและสั่งงาน AI หลากหลายค่ายให้ทำงานร่วมกันได้ ในปัจจุบันทำได้ง่ายกว่าเดิมมาก เพราะครื่องมือ AI ส่วนใหญ่เริ่มรองรับ MCP มากขึ้นแแล้ว
- ความรู้ Prompt Engineering: เข้าใจการออกแบบคำสั่งที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเขียนแบบ Few-shot prompting
2. ทักษะการวิเคราะห์ และแก้ปัญหาธุรกิจ (Analytical & Problem-Solving Skills)
- ความเข้าใจในธุรกิจอย่างเป็นระบบ: รู้และเข้าใจบริบทของธุรกิจที่ทำงานอยู่ เข้าใจเป้าหมาย ข้อดี ข้อเสีย ของธุรกิจนั้น เช่น ธุรกิจที่ต้องใช้เงินหมุนเวียนเยอะ ทำให้ต้องพยายามบาลานซ์ระหว่างความเก่งของ AI กับเรื่องค่าใช้จ่าย
- การแตกปัญหา ออกเป็นส่วนย่อย ๆ: ความสามารถในการแยกแยะปัญหาซับซ้อน ให้เป็นปัญหาย่อย ๆ ที่จัดการได้
- การออกแบบ Workflow: ความสามารถในการวางแผนและออกแบบลำดับการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
3. ทักษะการสื่อสาร และการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Soft Skills)
- การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Communication): สามารถอธิบายให้ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเข้าใจได้ เพราะอาชีพนี้อาจจะได้คุยทั้งกับระดับ C-level ไปจนถึงทีมโปรแกรมเมอร์
- การบริหารโครงการ (Project Management): สามารถจัดการทรัพยากร และกำหนดเวลาการทำงาน รวมถึงการประสานงานกับคนในบริษัท เพื่อให้ตอบโจทย์ธุรกิจมากที่สุด
การพัฒนาตัวเองเพื่อเป็น AI Agent Orchestrator อาจดูเป็นเรื่องท้าทาย เพราะต้องมีสกิลหลากหลายด้าน ทั้ง Tech + ธุรกิจ + Communication
เราไม่จำเป็นต้องรีบฝึกทุกสกิล สกิลเหล่านี้สามารถพัฒนาไปทีละด้านได้ครับ
หรือเราอาจจะฝึกให้เก่งด้านหนึ่ง แล้วไปร่วมงานกับคนที่เก่งด้านอื่น ๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องทำให้ครบทุกอย่างเองครับ
บทสรุป: โลกในยุค AI จะหมุนไปเรื่อย ๆ
ขอขอบคุณที่อ่านบทความนี้มาจนจบครับ และหวังว่าจะทำให้อ่านแล้วมีความหวังมากขึ้นสำหรับคนที่อยากพัฒนาตัวเองให้ทันกับโลกยุค AI
แทนที่จะเป็นโลกที่น่ากลัว เพราะการ Layoff จากที่ธุรกิจจะใช้คนลดลง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแน่ ๆ เราไม่สามารถเลี่ยงได้
แต่สิ่งที่เราทำได้ คือ เราสามารถพัฒนาตัวเองให้มีสกิลของ AI Agent Orchestrator ได้ ซึ่งเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการพัฒนาตนเองไปสู่บทบาทใหม่ที่มีความหมายมากขึ้นกับธุรกิจ
สำหรับท่านที่ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี สามารถเริ่มโดยการลองใช้ AI ในงานประจำวัน เรียนรู้จุดแข็งและข้อจำกัดของเครื่องมือต่าง ๆ และค่อยๆ พัฒนาไปสู่การออกแบบ Workflow ให้มาตอบโจทย์ธุรกิจครับ
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนคำถามจาก “AI จะมาแทนที่เราหรือไม่?” เป็น “เราจะใช้ AI มาเพิ่มศักยภาพในการทำงานของเราได้อย่างไร?”
อนาคตไม่ได้เป็นของคนที่กลัว AI แต่เป็นของคนที่เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับ AI อย่างชาญฉลาด
เราทุกคนกำลังต่อสู้อยู่ในยุคของ AI นี้ (ผมเองก็เช่นกัน) เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
—-
ขอบคุณที่อ่านกันมาจนจบบทความนี้ครับ ถ้าเพื่อน ๆ คิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ และอยากสนับสนุนให้ทีม DataTH มีกำลังใจทำบทความคุณภาพดี ให้อ่านฟรีกันนาน ๆ ฝากช่วยแชร์ให้เพื่อน ๆ หน่อยนะครับ
และถ้าอยากติดตามบทความดี ๆ ด้าน Data กัน สามารถติดตาม DataTH ได้บนช่องทางต่าง ๆ ทั้ง Website, Facebook, และ Youtube
แล้วพบกันใหม่บทความหน้าครับ





