ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเราล้วนอยู่ในโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลมากมายถูกสร้างขึ้น ทุกความเคลื่อนไหวในโลกดิจิทัล และโซเชียลมีเดียต่างผลิตข้อมูลขึ้นมาตลอดเวลา เช่นเดียวกับการบริโภคข้อมูลก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาไม่ต่างกัน เห็นได้ว่าสิ่งที่เราเรียกกันว่า Big Data ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่นี่คือปัจจัยหลักตัวใหม่ล่าสุดที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโต และไปได้ไกลขึ้นครับBig Data – มุมมองอนาคต
International Data Corporation (IDC) เปิดเผยว่ารายได้จากผลิตภัณฑ์ด้านข้อมูลทั่วโลกนั้นจะเติบโตมากกว่า 130.1 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2016 เป็น 203 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 อุตสาหกรรมจะลงทุนในเรื่องของโซลูชั่นที่ใช้วิเคราะห์ Big Data เพิ่มมากขึ้น เห็นได้ว่าคอนเทนท์และข้อมูลดิบจะกลายมาเป็นสินค้าใหม่ที่ถูกซื้อขายกัน การมีข้อมูลจะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ โดยคาดการณ์ไว้ว่าในปี 2025 จะมีข้อมูลเกิดขึ้นในโลก ราว 180 zettabytes หรือ 180 ล้านล้านกิกะไบต์
เห็นได้ชัดว่า Big Data ได้เปลี่ยนแปลงวิถีของการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจในปัจจุบันนั้นต้องการข้อมูลเชิงลึกที่มากพอ เพื่อใช้ขับเคลื่อนและลดเปอร์เซ็นความผิดพลาดในการตัดสินใจ อีกทั้งข้อมูลยังเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กร และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง
Big Data – สร้างมูลค่าเพิ่ม
ครั้งนี้ผมขอนำเสนอเรื่องของการนำเอา Big Data มาช่วยเรื่องของการสร้างมูลค่าให้แก่ลูกค้า เห็นได้ชัดว่าข้อมูลดิบของลูกค้านั้นมีประโยชน์ในการตอบคำถามที่บาดใจนักการตลาดมาโดยตลอด นั่นก็คือ
“ใครคือคนที่จะซื้อของในราคาที่เราตั้งเอาไว้”
และ
“เราจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเชื่อมต่อในสิ่งที่พวกเขาได้ยิน อ่าน และเห็น มาสู่การซื้อและการบริโภค”
ไม่เพียงแค่ตอบคำถามได้ แต่ข้อมูลทั้งหลายที่ได้จากการวิเคราะห์ Big Data จะช่วยให้เราสามารถระบุได้ถึงว่า
“ลูกค้าจะซื้ออะไรเป็นชิ้นต่อไป”
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้บริโภคสมัครสมาชิกเพื่อรับข้อมูลข่าวสารจากเว็บไซต์สำหรับจองโรงแรม ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกวิเคราะห์ คาดการณ์ตามประวัติของการใช้งานของเรา และจากนั้นจะถูก Customize ก่อนจะส่งถึงมือพวกเขาเพื่อย้ำและกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในครั้งต่อไป
เช่นเดียวกันกับ ไพรซ์ซ่า (www.priceza.com) ที่นำข้อมูลมาใช้เพื่อสร้างเป็นประสบการณ์ของผู้ใช้บริการ ในการคัดเลือกสินค้าและบริการที่ตรงกับความสนใจ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับข้อมูลของสินค้า และราคา ที่มีความหลากหลายและช่วยในการตัดสินใจซื้อสินค้าได้อย่างเต็มที่ครับ
Big Data – นานาประโยชน์เพื่อธุรกิจ
ผมขออ้างอิงข้อมูลส่วนหนึ่งของ IBM ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการนำ Big Data มาใช้ในแวดวงค้าปลีกก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายๆด้าน อาทิ
- วิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ในเรื่องความต้องการของลูกค้า การแข่งขัน และการเพิ่มการลงทุน
- แยกประเภทกลุ่มลูกค้าได้ชัดเจน เพื่อสามารถเข้าถึงลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้ดีขึ้น ทำการตลาดได้ Niche ขึ้น
- สร้างความผูกพันกับลูกค้า ด้วยการทำการตลาดแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (Personalized Marketing) ให้เข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า
- ทำนายพฤติกรรมลูกค้า เพื่อช่วยในการทำตลาด และต่อยอดธุรกิจ
- ทิ้งห่างคู่แข่ง ธุรกิจที่สามารถนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ก่อน ก็เท่ากับว่านำหน้าคู่แข่งไปได้อีกระดับ เพราะข้อมูลที่เรานำมาต่อยอดนั้นก็เพื่อจะรักษาฐานลูกค้าปัจจุบัน และเพิ่มลูกค้ารายใหม่ให้กับธุรกิจ
Big Data ที่ได้จากลูกค้าสามารถช่วยออกแบบข้อมูลที่จะเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ และสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ Amazon และ Netflix ที่นำเอาการวิเคราะห์ข้อมูลมาสร้างสรรค์มูลค่าให้แก่ลูกค้า โดยการลดต้นทุนการค้นหาและประเมินผลของลูกค้าให้น้อยลง
ไม่ใช่แค่ “การซื้อครั้งต่อไป” แต่ Big Data สามารถนำไปสู่การสร้างความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว ด้วยกลยุทธ์การสื่อสาร และสร้างความสัมพันธ์จากการใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีอยู่ แต่ก่อนที่จะนำเอาข้อมูลมาใช้งาน องค์กรจะต้องพิจารณาดูตัวเองว่า ทำอย่างไรที่จะใช้ข้อมูล Big Data มาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าของตนได้
Big Data – ชวนคิดก่อนลงมือทำ
ถ้าเรามีข้อมูลของลูกค้าอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะได้เปรียบกว่าคนอื่นนะครับ หากเราไม่สามารถนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์และพัฒนาข้อมูลให้มีมูลค่ากับธุรกิจของเรา แล้วธุรกิจของคุณพร้อมหรือยัง ลองเช็คลิสต์ไปพร้อมๆกันครับ
- ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการทำงานกับข้อมูล ในด้านเทคโนโลยี และความปลอดภัย
- ความพร้อมด้านวัฒนธรรมองค์กร ที่จะช่วยขับเคลื่อนข้อมูลไปสู่มูลค่ามหาศาลทางธุรกิจ
- ความพร้อมด้านบุคลากร ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ และแปลผลข้อมูล
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเป็นแรงผลักดันให้องค์กรหันมาสร้างมูลค่าเพิ่มจาก Big Data ก็คือ ผู้บริหาร นั่นเองครับ
ฝากเอาไว้
สุดท้ายแล้ว ความท้าทายภาคปฏิบัติก็คือ นักการตลาดในยุคดิจิทัลทั้งหลายจะต้องแปลงข้อมูล Big Data ให้กลายเป็นความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยการนำข้อมูลที่ได้รับมาใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์มูลค่าใหม่ๆให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ ยังต้องพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลนั้นเป็นสินทรัพย์ที่ยั่งยืนตลอดไปครับ