สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้แอดเหมียวทำงานเป็น Data Engineer มาได้เกิน 1 ปีในออสเตรเลียแล้ว เลยจะมาเล่าให้ฟังว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง เพื่อนร่วมงานและ culture ของที่นี่เป็นอย่างไร รวมถึงแนะนำการสมัครงานด้านนี้ในตอนท้าย
ขอเกริ่นก่อนนะคะว่าแอดปริญญาตรีด้าน Actuarial Science (คณิตศาสตร์ประกันภัย) ที่ไทย แล้วมาจบปริญญาโทสาขา Data Science ที่ Monash University ที่เมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ซึ่งตอนจบเป็นช่วงโควิดพอดี ก็ใช้เวลาหางานสักพักใหญ่ ๆ จนได้เริ่มทำงานจริงเป็น Data Engineer ปลายปีนั้น (ครบปีเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา เลยได้ฤกษ์เขียนบทความซะที)
มาดูกันเลยว่าแอดเข้ามาทำงานแรกได้ยังไง
เข้าไปทำงานเป็น Data Engineer ในออสเตรเลียได้อย่างไร
จุดเริ่มต้นก็เริ่มจากการที่แอดเรียนจบ ก็เหมือนกับเด็กจบใหม่ทุกคนที่ต้องเริ่มสมัครงาน
ในช่วงแรก ก็กังวลมาก และค่อนข้างที่จะเครียดในการสมัครงาน เพราะช่วงที่จบเป็นช่วงโควิดพอดี เคยพยายามหาที่ฝึกงานก่อนจะจบ ก็พบว่าหลาย ๆบริษัทไม่มี budget ในการจ้างเด็กฝึกงาน แม้แต่บริษัทใหญ่อย่าง PwC (บริษัทด้าน Consulting ระดับโลกชื่อดัง) ที่มักจะรับเยอะ ๆ ก็ไม่เปิดรับ
เลยพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างโปรไฟล์ให้ตัวเอง เข้าไปใน LinkedIn พยายามสร้าง connection ใส่ทุกอย่างที่มีลงไป สังเกตและปรับแต่งโปรไฟล์ตัวเองไปเรื่อย ๆ เรียนรู้สกิลต่าง ๆ เพิ่มเติม และเรียนรู้การทำ resume ให้ตรงกับตลาดของออสเตรเลีย
[ เพิ่มเติม: ใครมีข้อสงสัยเรื่องการทำ resume ยังไงให้น่าสนใจ สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ 10 เทคนิคทำ Resume สาย Data ให้โดดเด่น เตรียมพร้อมสมัครงาน แบบผ่านฉลุย ]
หลังจากนั้นก็เริ่มมี recruiter และบริษัทที่สมัครไปติดต่อกลับมาบ้าง เชื่อไหมคะ ว่าครั้งแรกที่ได้รับโทรศัพท์ก็แห้วทันที เพราะยังเตรียมตัวในเรื่องการตอบคำถามทางโทรศัพท์ และการสัมภาษณ์งานไม่เพียงพอ
แอดวนลูป คอยรับโทรศัพท์ ทำแบบทดสอบทาง technical สัมภาษณ์กับทั้งฝั่ง HR และฝั่ง technical อยู่แบบนี้เป็นเดือน ๆ บริษัทแต่ละบริษัทจะมี process การรับคนเข้าทำงานและการสัมภาษณ์งานแตกต่างกันออกไป ถ้าหลุดก็ต้องไปเริ่มใหม่
บริษัทใหญ่ส่วนมากจะมี process การรับคนเข้าทำงานและสัมภาษณ์งานค่อนข้างนานและมีหลายรอบมาก อย่างเช่น
- เริ่มจากการส่งใบสมัครไป
- ถ้าโอเค จะได้เมลกลับมาว่าผ่าน เสร็จแล้วทำแบบทดสอบทาง technical
- คุยกับ HR ถ้าผ่าน HR ไปได้เขามองว่าเรามี culture Fit กับบริษัท เราจะได้ไปรอบต่อไป
- สัมภาษณ์กับทาง technical หรือหัวหน้างาน
- รอบสุดท้าย อาจจะได้สัมภาษณ์กับฝั่งบริหารเพื่อเช็คอีกทีว่าเราเข้ากับบริษัทเขา (Culture Fit) ได้จริง
สิ่งที่แอดทำคือ ทุก ๆ ครั้งที่เราไม่ได้ไปต่อในรอบถัดไป ก็จะกลับมาประเมินตัวเอง ว่าตอบคำถามอย่างไร พลาดอะไรไปบ้าง มีจุดไหนที่ควรแก้ไขเพิ่มเติม และลองเขียนคำถาม คำตอบที่เจอบ่อย ๆ ออกมา เพื่อเป็นแนวทางในการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป
จนในที่สุดความพยายามก็ไม่สูญเปล่า ได้งานในสาย Data อย่างที่หวัง เป็นตำแหน่ง Data Engineer ค่ะ !!
ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการทำงานด้าน Data Engineer ต่างประเทศ ใน 1 ปีแรก
ในตอนแรกที่เข้าไปเรียกว่าเราเป็น Newbies เด็กใหม่ ยังไม่ค่อยมีสกิลด้าน Data Engineer และ Cloud computing มากเท่าไหร่ ก็ต้องถีบตัวเอง Speed up ขึ้นมา เรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ไม่เคยเจอมาก่อนให้ได้ในเวลาสั้น ๆ อย่างเช่น เก็บ certificate อันแรกภายใน 1 อาทิตย์
ขอสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ออกมาเป็น 3 ข้อ นั่นคือ
Tech come fast/ Cloud is a must
ในช่วงสองสามเดือนแรก จะเป็นการเรียนรู้เตรียมตัวให้พร้อม คอยช่วยทำงานเบื้องหลัง อาจจะเป็นโปรเจคของลูกค้า แต่ยังไม่ได้มีการติดต่อกับลูกค้าโดยตรง ทำโปรเจคภายในบริษัท ใช้เวลาทำความเข้าใจโครงสร้าง การทำงานในบริษัท เครื่องมือต่าง ๆ รวมถึงบริษัท Partner ลูกค้าและปัญหาที่ลูกค้าเจอ
บริษัทต่าง ๆ ในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี Cloud computing เข้ามาใช้กันถ้วนหน้า แอดเลยทำการเก็บ certificate อันที่ 2 เพื่อให้มีความเข้าใจด้าน Cloud computing เป็นความรู้ติดตัวไว้ทำงานกับลูกค้าได้
หัวหน้ามักจะบอกว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันมีเยอะมาก เราไม่สามารถไล่ตามได้หมด แนะนำให้เลือกหาสิ่งที่เราสนใจและโฟกัสไปตรงจุดนั้น ภาษาในการโค้ดก็เหมือนกันควรเรียนรู้หลากหลายแต่ก็ต้องมีซักภาษาหรือสองภาษาที่เป็นจุดแข็งของเราจริง ๆ
Mindset ในการแก้ปัญหา
หลังจากเริ่มทำงานได้สักพักหนึ่งก็เริ่มมีความเข้าใจการทำโปรเจคมากขึ้น และได้เข้าไปทำงาน on site หรือทำงานที่ออฟฟิศของลูกค้าเลย
การทำงานเริ่มต้นด้วยที่หัวหน้าและเราเข้าไปทำงานพร้อม ๆ กัน ก็จะมีคนให้คำแนะนำอยู่สักพัก หัวหน้าเป็นคนวางโครงสร้าง Architecture
พอสร้างระบบเสร็จ เขาก็ปล่อยเราไว้ตรงนั้นเลย แล้วไป Project อื่น จากนั้นแอดก็โซโล่เดี่ยวอยู่กับลูกค้า
เนื่องจากหัวหน้าก็มีเวลาที่จำกัดและมีงานที่ต้องรับผิดชอบของตัวเอง ไม่สามารถมาคอยแนะแนวเราได้ตลอด เวลาเกิดปัญหาหรืออะไรพังลง เราต้องเป็นคนแก้ปัญหาเอง
โชคดีที่แอดได้ทำการสะสมบุญมาในระหว่างที่หัวหน้ายังอยู่ด้วย เลยมีความเข้าใจระบบที่ทำอยู่พอประมาณ ทั้งที่จริง ๆ มันซับซ้อนมาก
ได้ใช้ทักษะการสังเกต ขุดค้นสาเหตุของปัญหา รวมถึงใช้ Google ให้เป็นประโยชน์ในการ search หาวิธีการแก้ปัญหา อาจจะต้องหาวิธีเฉพาะหน้าถ้ามี Time Frame เข้ามาเกี่ยว หรือ Solution ในระยะยาว และขอคำแนะนำหัวหน้าบ้างเป็นระยะในจุดที่ไม่มั่นใจ
Communication
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือ “การสื่อสารกับทีม”
เนื่องจากว่าภาษาอังกฤษนั้นไม่ใช่ภาษาแม่ของหลาย ๆ คน ก็อาจจะทำให้รู้สึกยากในการสื่อสารโดยเฉพาะคุยกับคนจากหลายเชื้อชาติหลายสำเนียง
ซึ่งแอดก็เป็น หรือบางครั้งด้วยนิสัยความเป็นไทยขี้เกรงใจ ทำให้เราไม่กล้าที่จะพูดหรือเข้าไปขอความช่วยเหลือ
แอดเคยโดนเตือนเรื่องการสื่อสารอยู่รอบหนึ่ง เนื่องจากอัปเดตกับลูกค้าไม่ชัดเจน ซึ่งเวลาทำงานกับลูกค้า ลูกค้าต้องการทราบความเป็นมาเป็นไปใน project รวมถึงปัญหา ต้นตอของปัญหา และวิธีการแก้ปัญหาในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น
จากคนที่มีนิสัยขี้อาย เป็น introvert ก็เลยต้องปรับปรุงตัว
เริ่มจากอัปเดตการงานให้บ่อยมากขึ้น เรียบเรียงทุกอย่างที่คิดว่าควรรายงานออกมาเป็น List แล้วบอกหัวหน้าใน Stand Up เข้าไปคุยกับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานโดยตรง ก็ทำให้เรามีความเข้าใจกัน กระชับความสัมพันธ์และทำงานเสร็จได้เร็วขึ้น
เพื่อนร่วมงานและ culture ของออสเตรเลียเป็นอย่างไร
มีความเป็นเพื่อน Mateship
Culture ในที่ทำงานของออสเตรเลียค่อนข้างที่จะชิล จะ treat กันแบบเพื่อนหรือ mateship เราสามารถพูดอะไรกันตรง ๆ ได้เลย อยากคุยกับหัวหน้าก็เดินเข้าไปคุย อยากคุยกับ MD หรือ CEO ก็เดินเข้าไปคุยได้เลย ซึ่งน่ารักมาก
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Outing อย่างเช่น
- ไปตีเทนนิสด้วยกันทั้งทีม ตั้งแต่ CEO, MD, ทีมหลีดและ HR ก็ไปด้วยกันทั้งหมด
- คนที่ชอบปีนผาก็นัดกันไปปีนผา
- เตะบอลสั้นๆตอนพักเที่ยง
- แล้วมักจะมีการนัดดื่มสังสรรค์พูดคุย เล่นเกม หลังเลิกงาน
ถึงแม้ว่าอาจจะมีความต่างในเรื่องของวัฒนธรรมและอายุกับเพื่อนร่วมงานบ้าง แต่ก็สนุกมากที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ตรงต่อเวลา ยืดหยุ่นเวลาทำงาน ให้ความสำคัญกับ Productivity
นอกจากนี้ยังเป็น Culture ที่ตรงต่อเวลา ถือเป็นการให้เกียรติผู้อื่น เพราะงั้น time management เป็นเรื่องที่เราควรจัดการให้ดี
ถึงแม้ว่าการทำงานที่นี่จะค่อนข้างที่จะ flexible เช่น บางทีมีนัดหมอก็ออกไปก่อนแล้วค่อยกลับมา แต่ก็ให้ความสำคัญกับ Productivity และ Hard Work และมักจะมีการ reflex ตัวเองหรืองานที่ทำอยู่เสมอ
Australians love coffee !
คนออสซี่จะชอบกินกาแฟมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคน แต่ก็มักจะมี Morning Coffee หรือ Coffee Catchup อยู่บ่อย ๆ เวลาไปทำงานที่ออฟฟิศก็มักจะเดินไปร้านกาแฟด้วยกัน แล้วก็ chitchat เดินไปคุยไปอยู่เสมอ
แต่คนไม่ชอบกาแฟก็ไม่ต้องเครียดนะ แอดเป็นคนนึงที่ไม่กินกาแฟแต่ก็ไปกับเขาได้ โดยสั่ง Hot Chocolate แทน
ความประทับใจส่วนตัว
ความประทับใจของแอดมีอยู่เยอะมาก แต่ที่อยากจะเล่าก็คือว่าตอนเราไปทำงาน MD ถามว่าอยากดื่มอะไร แล้วเราบอกชา แต่ตอนนั้นไม่มีชาเลย เขาก็ไปเอาชาพร้อมกาน้ำชามาให้ แถมยังมีโชว์ฝีมือการทำแซนวิช เราทำทานถึงทีี่
ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้าโปรเจคที่เป็นลูกค้า พอรู้ว่าเราชอบ One Piece เขาก็บอกว่าจะไปหา figure ที่เขาเก็บไว้ ซึ่งเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์แรกของเขามาให้เรา
แอดเลยได้พวงกุญแจ Character วันพีชมาหลายอันพร้อม figure ของ Sanji และยังไปกินร้านเบอร์เกอร์ One Piece เปิดใหม่ที่แอดอยากไปด้วยกันทั้งทีม
ฟังแค่นี้เพื่อน ๆ ก็รู้สึกประทับใจไปกับแอดแล้วใช่ไหมคะ ถ้าใครสนใจการทำงานในออสเตรเลียเราไปดูกันต่อเลยว่าแอดมี tips อะไรมาฝากเพื่อน ๆ บ้าง
แนะนำการสมัครงานด้าน Data ในออสเตรเลีย
เริ่มจากทำ Resume ให้พร้อมสมัครงาน
Resume ที่นี่จะไม่นิยมใส่รูป ใส่อายุ หรือแม้แต่ที่อยู่ เพื่อป้องกัน bias เราควรจะ tailor resume ให้ตรงกับงานที่เราสนใจ ควรเข้าไปอ่าน Job description เนื้องาน แล้วมานั่งปรับ resume ใหม่
ถึงแม้ว่า Job Title จะเหมือนกันแต่เนื้องานของแต่ละบริษัท สกิลที่เขาต้องการ อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้
อยากให้ลองเข้าไปอ่าน Job description ดูก่อนว่าแต่ละบริษัทเขาใช้เทคโนโลยีด้านไหน เรามีสกิลซัก 50-60% ไหม ถ้ายังไม่มีอาจจะต้องไป upskill เพิ่ม
รวมถึงเข้าไปในเว็บไซต์ศึกษา Culture ของบริษัท หรืออาจจะดูว่าบริษัทมีโปรเจคกับที่ไหน มี product อะไรบ้าง
นอกจากนี้อาจจะ reach out ไปยัง LinkedIn ของคนที่ทำงานในบริษัทที่เราสนใจ เพื่อพูดคุยและทำความเข้าใจกับบริษัทมากขึ้น
หางานในออสเตรเลียจากไหนดี
การติดต่อไปยัง recruiter ใน LinkedIn ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพื่อน ๆ สามารถเข้าไป Connect กับ recruiter ใน LinkedIn หรือถ้าทำโปรไฟล์ได้น่าสนใจก็อาจจะมี recruiter ติดต่อมาเองโดยตรง
ในส่วนเว็บไซต์หางานที่เป็นที่นิยมในออสเตรเลียนั้น ก็จะมีตั้งแต่ Seek, Indeed, glassdoor, adzuna, workforceaustralia.gov.au
เราสามารถเข้าไป Drop resume (ส่ง resume สมัครงาน) ไว้ในนั้นได้ และสามารถกดสมัครจากในนั้นได้ทันที บางครั้งก็อาจจะมีคนติดต่อเรากลับมาจากการที่เราไป drop resume ก็เป็นไปได้
สรุปประสบการณ์ทำงาน Data Engineer 1 ปีที่ออสเตรเลีย อ่านแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
วันนี้แอดก็ได้มาแชร์ประสบการณ์ตรง ตั้งแต่เรียนจบเริ่มสมัครงาน ได้เรียนรู้อะไรบ้างระหว่างการทำงาน รวมถึง culture ในการทำงานที่ออสเตรเลีย และแนะนำการสมัครงานด้าน Data ที่นี่ให้กับทุกคน
คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบล็อกนี้จะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพื่อน ๆ ที่กำลังหางานหรือใครที่อยากจะมาทำงานที่นี่ หรือมาอ่านประสบการณ์สนุก ๆ เผื่อไปป้ายยาคนอื่นต่อได้
บทความนี้เราตั้งใจเขียนมาก และหวังว่าจะมีคนที่ได้ประโยชน์จากบทความนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ นะคะ :) ถ้าชอบเนื้อหาแนวนี้ ติดตามบทความดี ๆ ด้าน Data และวีดิโอสนุก ๆ ดูชิล ๆ แล้วได้ความรู้กันได้ที่ Facebook Page: DataTH และ Youtube Channel: Data Science ชิลชิล แล้วเจอกันนะคะ